เอเลี่ยนชีวิตรันทดใน District 9

วันนี้แอดจะมาแนะนำหนังนอกกระแสกันซักหน่อย กับภาพยนตร์ไซไฟ-ดราม่า มาแนะนำให้คอหนังที่ชอบดูหนังไซไฟกัน โดยหนังเรื่องที่จะพูดถึงนี้ ก็นับเป็นผลงานขึ้นหิ้งชิ้นหนึ่งของผู้กำกับ นีล บลอมแคมพ์ (Neil Blomkamp) เจ้าพ่อหนังไซไฟแนว Dystopian (แนวโลกอนาคตที่เสื่อมทรามลงไปมาก โดยเฉพาะความเหลื่อมล้ำ) ที่มีผลงานอย่าง Chappie, Elysium รวมไปถึงหนังสั้นที่ทำมาเพื่อแฟนเซอร์วิสให้กับคอเกมแอคชั่นไซไฟสุดฮิตอย่าง Halo: Landfall ในปี 2007 อีกด้วย ซึ่งสำหรับใครที่กำลังหาดูหนังไซไฟที่มีดีไซน์เท่ห์ ปนกับแนว industrial หน่อยๆ ที่มาพร้อมกับเนื้อเรื่องที่จริงจังและเสียดสีสังคมพอประมาณ ไม่ควรพลาดด้วยเหตุนานาประการ สำหรับเรื่อง District 9 หรือชื่อไทยว่า “ยึดแผ่นดิน เปลี่ยนพันธุ์มนุษย์”เนื้อเรื่องของ District 9 โดยสรุปนั้นก็คือ ในอนาคตอันใกล้ ได้มียานอวกาศเอเลี่ยนปริศนามาจอดเทียบอยู่ที่กรุงโยฮันเนสเบิร์ก (Johannesburg) ซึ่งเป็นเมืองขนาดใหญ่ที่อยู่ในประเทศแอฟริกาใต้ ซึ่งได้สร้างความแตกตื่นให้กับผู้คนทั้งโลก ก่อนที่เวลาจะผ่านไปซักพัก และไม่มีท่าทีที่เป็นภัยออกมาจากยานลำนี้ จนกระทั่งมนุษย์ได้เข้าไปสำรวจและพบว่ามีเอเลี่ยนที่มีลักษณะคล้ายแมลงหรือกุ้งขนาดใหญ่ ใช้ชีวิตกันอย่างแออัดอยู่ภายในยานลำนั้น ซึ่งพวกเขาดูอ่อนแอและไร้เป้าหมาย เหมือนฝูงผึ้งที่ไม่มีนางพญาคอยควบคุม ทำให้มนุษย์จัดตั้งให้มีหน่วยงานที่เข้ามาดูแลส่วนนี้โดยเฉพาะ และพยายามสื่อสารกับเอเลี่ยน เสนอพื้นที่ส่วนหนึ่งในโยฮันเนสเบิร์กให้พวกเข้าสามารถลงมาอาศัยอยู่ได้ ก่อนที่จะเกิดปัญหาต่างๆตามมามากมาย

ในการเล่าเรื่อง ภาพยนตร์เรื่องนี้ใช้ตัวละครที่ชื่อ Wikus Van De Merwe (แสดงโดย Sharlto Copley) ในการเดินเรื่อง โดยเขาเป็นพนักงานที่มีความทะเยอทะยานสูงและไม่ค่อยสนใจวิธีการในการได้มาเท่าไหร่นัก ซึ่งเขาได้รับภารกิจให้ไปไล่ที่เอเลี่ยนให้ไปอยู่ในเขตกักกันที่เรียกว่า District 9 ซึ่งมีลักษณะเหมือนค่ายผู้ลี้ภัยที่ไม่น่าอยู่เอาซะเลย ที่ต้องทำแบบนี้เพราะว่าเดิมที โยฮันเนสเบิร์กก็เป็นเมืองที่มีประชากรแน่นหนาอยู่แลว และการที่เอเลี่ยนเข้ามาอยู่อาศัยด้วยก็ทำให้เกิดปัญหาความรุนแรง อาชญากรรม และปัญหาอื่นๆอีกมากมาย และองค์กรต่างๆในโลกก็ไม่ได้สนใจอย่างจริงจังที่จะให้การช่วยเหลือเอเลี่ยนเหล่านี้หากไม่มีผลประโยชน์ สิ่งที่เอเลี่ยนพวกนี้ถูกปฏิบัติด้วยจึงเปรียบเสมือนกลุ่มผู้ลี้ภัยจากสงครามหรือจากประเทศด้อยพัฒนา ที่ต่อหน้าสื่อมักจะมีการเคลมว่าจะให้ความช่วยเหลือต่างๆนาๆ แต่แท้จริงแล้วก็ไม่ได้สนใจอะไรหรือแม้แต่จะปฏิบัติด้วยอย่างเท่าเทียมในฐานะสิ่งมีชีวิตที่มีอารยธรรม

ในระหว่างการทำภารกิจนี้ Wikus ก็ได้เจอกับเอเลี่ยนตัวหนึ่งที่ชื่อ คริสโตเฟอร์ ซึ่งเขาดูแตกต่างจากคนอื่นๆในเผ่าพันธุ์ของเขาโดยทั่วไป เขาดูฉลาด รอบคอบ และมีเทคโนโลยีต่างๆเก็บเอาไว้ในบ้านอยู่มากพอสมควร พร้อมทั้งมีลูกชายเด็กเล็กติดมาอีกคนด้วย ซึ่ง Wikus ก็เล่นไม่ซื่อและหาทางให้คริสโตเฟอร์ยอมเซ็นจดหมายยินยอมในการย้ายที่อยู่จนได้ แต่ในระหว่างที่เขากำลังรื้อบ้านของคริสโตเฟอร์เพื่อนค้นหาเทคดนโลยีเอเลี่ยนที่พอจะนำไปใช้ประโยชน์หรือขายทำเงินได้ เขาดันไปโดนสารสังเคราะห์ตัวหนึ่งเข้า และมันทำให้ Wikus ป่วยรุนแรงแบบกระทันหัน ก่อนที่จะรู้ในภายหลังว่า คริสโตเฟอร์ใช้เวลาหลายปีในการเก็บกู้ซากที่ร่วงจากยานแม่ที่เขาเดินทางมา เพื่อสร้างสารดังกล่าวออกมาใช้เป็นเชื้อเพลงให้ยานแม่ในการพาตัวเขา ลูกชาย และเพื่อนร่วมเผ่าพันธ์ของคริสโตเฟอร์ออกไปจากโลก แต่ว่าการที่ Wikus โดนสารนั้นเข้าไป มันจะค่อยๆเปลี่ยนพันธุกรรมของเขา และทำให้เขากลายร่างเป็นเอเลี่ยนแบบเดียวกันกับผู้มาเยือนเหล่านี้

สำหรับคนที่ดูหนังไซไฟมาพอประมาณอย่างแอด ตอนได้ดูครั้งแรกก็รู้สึกประทับใจกับหนังเรื่องนี้ตรงที่ว่า เนื้อเรื่องไม่ซ้ำซากจำเจ และไม่เหมือนหนังเอเลี่ยนบุกโลกที่เคยดูมา แต่ก็ยังมีความเป็นไซไฟอยู่ ซึ่งแอดมั่นใจว่าถ้าใครเป็นคอหนังสายนี้และชื่นชอบการดูหนังไซไฟ ก็จะหลงรักงานชิ้นนี้เหมือนกัน เพราะนอกจากเรื่องของการออกแบบ ทั้งเซ็ทอัพโครงเรื่องและดีไซน์ของเอเลี่ยน ยาน และอาวุธโดยรวม จุดเด่นที่สุดของเรื่องนี้ แอดมองว่าเป็นการเสียดสีและเปรียบเทียบการทำงานของหน่วยงานต่างๆของโลก ที่วางตัวและวาดภาพตัวเองไว้เป็นนักบุญผู้ให้ แต่เบื้องหลังก็เป็นเรื่องของผลประโยชน์เท่านั้น นอกจากนี้ก็เป็นเรื่องของการพัฒนาตัวละครหลักอย่าง Wikus ที่เป็นคนเห็นแก่ตัวจนน่ารังเกียจ แต่เมื่อต้องผ่านปัญหาร้ายแรงต่างๆ และกลายมาเป็นผู้ถูกกระทำ ก็ทำให้เค้าเปลี่ยนไปและเริ่มนึกถึงคนอื่นหรือสิ่งมีชีวิตอื่นนอกจากตัวเองบ้าง


Posted

in

by

Tags:

Comments

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *